วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552

กลอน สุนทรภู่

ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร
ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แม้อยู่ในใต้หล้าสุธาธาร
ขอพบพานพิสวาทมิคลาดคลา
แม้เนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ
พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา
แม้เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา
เชยผกาโกสุมปทุมทอง
แม้เป็นถ้ำอำไพขอให้พี่
เป็นราชสีห์สมสู่เป็นคู่สอง
ขอติดตามทรามสงวนนวลละออง
เป็นคู่ครองพิศวาสทุกชาติไป








กลอน นี้ ไปถูกเขียนขึ้น เพื่ออธิบายถึงความรู้สึก หลังจากพระอภัยมณีได้ พลอดรัก กับคนรักของเขา ถึงแม้จะได้เต็มอิ่มกันไปแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอสำหรับ สุนทรภู่ เหมือนความรักจุกอยู่กลางหัวใจ และอยากให้ความรักกับผู้หญิงคนนี้ อยู่ต่อไปเรื่อยๆ และ เรื่อยๆ อยู่ให้ห้วงของความรักที่ชายคนหนึ่งมีให้ผู้หญิงอีกคน จึงกลายเป็นคำมั่นสัญญาเกิดขึ้น

กลอนนี้ ท่าน สุนทรภู่ได้ นำคำมั่นสัญญา กลายมาเป็นคำขอว่า ไม่ว่า ผู้หญิงจะเกิดเป็นอะไร ชาติ ไหน พบไหน เขาก็จะถามไปรัก ผู้หญิงคนนี้ตลอด เช่น หากผู้หญิงเป็นอย่างนี้ เขาก็จะเป็นอีกอย่างเพื่อให้ได้ ผูกผันเ กันอีก กลวิธีนี้เป็นการเชื่อมของสิ่งๆหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งแต่ละซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ยังไงก็ตามพระอภัยมณี ก็ขอตามไปพบพานพิศวาศผู้หญิงคนนี้ตราบชั่วกัลปวสาน

ความกำกวมของกลอน หากไม่ขุดเข้าไปลึกจริง ก็จะเห็นภาพตามสิ่งที่อ่านของกลอน และก็เห็นภาพแตกต่างจาก ตอนที่ขุดลึกเข้าไปจริงๆ ส่วนตัวแล้วคิดว่า กลอนนี้มีความกำกวมมาก เหมือนเป็นความมายซ่อน ความหมาย ทับซ้อนกันมา หากดูดีๆ ถึงจะรู้ถึง จุดพระสงค์ของกลอนบทนี้ และสุดท้ายก็จะเข้าใจเอง การที่สุนทรภู่ ใช้ คำที่เกินจริง เช่น ได้หล้าสุกธาธารและคำอื่นๆอีกมากมาย ทำให้ผู้อ่านสนใจ เพราะการที่ใช้คำเกินจริงนั้นเป็นศิลปะของการแต่งกลอนที่ให้ผลลัพย์รุนแรง โดยเฉพาะกับการที่ใช้คำที่เกินจริงในการ ซ่อนความหมายที่แท้จริง

ด้วยความที่ กลอนเป็น ศิลปะ จึงไม่มีความตรงไปตรงมา ฉะนั้น เราจึงต้องเป็นฝ่ายเข้าไปตีความเอง โดยเฉพาะกับคำที่เกินจริง และ ซ่อนความหมาย นั้น เป็น เหมือนเหล็ก ดึงดูดให้ผู้อ่านอยากเข้าไปค้นความหมายของกลอนนี้ สุกท้ายความเข้าใจต่อกลอนนี้ จะขึ้นอยู้กับว่า เราขุดและคิดลึกเพียงพอไหม

บทพระราชนิพนธ์ เรื่องท้าวแสนปม

ในลักษณ์นั้นว่าน่าประหลาด

เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า

เหตุไฉนย่อท้อรอรา

ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที

เห็นแก้วแวววับที่จับจิต

ไยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่

เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี

อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ

อันของสูงแม้ปองต้องจิต

ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา

มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ

ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม

ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง

คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม

ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินดอม

จึ่งได้ออมอบกลิ่นสุมาลี

บทพระราชนิพนธ์ เรื่องท้าวแสนปม
ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าฯ รัชกาลที่ 6










บทพระราชนิพนธ์ เรื่องท้าวแสนปม


บทเพลง ของเรื่องท้าวแสนปมบทนี้นั้น จะเกี่ยวการที่ผู้ชายคนหนึ่งแอบรักผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงก็ชอบชายผู้นี้ แต่บทกลอนนี้จะเป็นการประชดถึงความขี้ขลาดของผู้ชายคนนี้ ที่ไม่ยอม และไม่กล้ามาจีบผู้หญิงจริงๆ ทั้งๆที่ผู้หญิงเป็นผู้สูงศักดิ์


เริ่มต้นกลอนก็บอกว่า ถึงจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่แต่ก็ไม่กล้ามาหา บทแรกนี้ เป็น การประชดประชันเสียดสี ขัดแย้งระหวังฐานะกับความกลัว ถึงเป็นนักรบแต่ก็ยังกลัว เป็นกลวิธีของผู้แต่งโดยใช้ ความตรงกันข้ามนำมาเปรียบเทียบ ร้อยออกมาจนเป็นคำประชดประชัน ความหมายของกลอนนี้มีความกำกวมแต่ก็เข้าใจง่าย เพราะผู้แต่ง สื่อความหมายโดยการเปรียบเทียบ ไม่ใช้การซ่อนความหมาย ข้าพเจ้าคิดว่า กลอนนี้ นอกจากเป็นการประชดประชัน จะมีความผิดหวังด้วย พระผู้หญิงเหมือนกำลังสอน ปนบ่นไปพร้อมๆกัน ผ่านบทกลอน เช่น ประโยคที่ว่า เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมีอันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ คล้ายกับว่า สอนผู้ชาย และหวังว่าผู้ชายจะเข้ามาหาผู้หญิงไม่ใช้จะอยากได้นางเป็นเพียงอย่างเดียว กลวิธีนี้ เป็นการ (paradox) เราสามารถรู้ได้จากมุมมอง และทัศนะ ของผู้แต่งว่ามุมมองของเขาเป็นอย่างไร ซึ่งคิดว่า เป็นการ ประชดประชัด รัก ชอบ สอน และ หวัง รวมๆกับไป


ที่เห็นได้ชัดจากบทกลอนบทเหล่านี้คือ การที่ มีคำว่า จะ ซ้ำกันอยู่สามครั้ง เป็นการให้ภาพพจน์ของความที่ใกล้แค่เอื้อมแต่ก็ยังไม่ถึง บวกกับเสียงของ จ ที่เป็นการกระแทกแสดงให้เห็นถึงความผิดหวังของผู้หญิงคนนี้ด้วย รวมกับ คำบางคำเป็นการเปรียบเทียบด้วยผู้หญิงเอง กับสิ่งที่สูงส่งยศของตัวเองเช่น กับแก้วแวววับ แสดงไห้เห็นถึงว่า ตนมีค่า หากอยากได้จะต้องขวนขวาย และ เป็นการเปรียบคนเป็นสิ่งของ ซึ่งทำให้ผู้อ่านเห็นภาพและเข้าใจชัดกับการที่จะใช้สิ่งของเสียมากกว่า นอกจากเปรียบตัวผู้หญิงเองกับของสูงส่ง ก็เปรียบตัวเองกับ สิ่งต่ำต้อยเช่น กับตลาด ซึ่งเห็นได้ชัดถึงความประชัดประชัด ทั้งนี้ทั้งนั้น ทำให้เกิดความดุดันรุนแรง กับการประชดประชันด้วย ซึ่งทำให้ผู้อ่านบางคนที่เป็นผู้หญิงสะใจก็ไปด้วย ก็เป็นไปได้ การสัมผัสในของกลอนเช่น คำว่ายื้อ กับถือนั้น ช่วยทำให้กลอนไหลลื่นอย่างสวยงามต่อเนื่อง


หากปลอกเปลือกของกลอนนี้แล้ว เนื้อหาที่แท้จริงก็คือ อยากให้ผู้ชาย มาจีบผู้หญิง ไม่อยากให้กลัวหรืออาย ในอีกทางหนึ่ง กลอนนี้ก็สอนให้ผุ้ชายว่า ถ้าหากรักหรือชอบใครซักคน ไม่ควรจะแอบรักเพียงอย่างเดียว เพราะเราไม่รู้ว่า เขาจะมีความรู้สึกเดียวกับเราหรือไม่ ก็เหมือนกับว่า หากถ้าเราไม่สอยมะม่วง เราจะรู้ได้ไงว่ามะม่วงนั้นเป็นของดี หรือ เสียแล้ว

กลอน เสียเจ้า


๑. เสียเจ้าราวร้าวมณีรุ้ง
มุ่งปรารถนาอะไรในหล้า
มิหวังกระทั่งฟากฟ้า
ซบหน้าติดดินกินทราย ๚


๒. จะเจ็บจำไปถึงปรโลก
ฤารอยโศกรู้ร้างจางหาย
จะเกิดกี่ฟ้ามาตรมตาย
อย่าหมายว่าจะให้หัวใจ ๚


๓. ถ้าเจ้าอุบัติบนสวรรค์
ข้าขอลงโลกันตร์หม่นไหม้
สูเป็นไฟเราเป็นไม้
ให้ทำลายสิ้นถึงวิญญาณ ๚


๔. แม้แต่ธุลีมิอาลัย
ลืมเจ้าไซร้ชั่วกัลปาวสาน
ถ้าชาติไหนเกิดไปพบพาน
จะทรมานควักทิ้งทั้งแก้วตา ๚


๕. ตายไปอยู่ใต้รอยเท้า
ให้เจ้าเหยียบเล่นเหมือนเส้นหญ้า
เพื่อจดจำพิษช้ำนานา
ไปชั่วฟ้าชั่วดินสิ้นเอย ๚



กลอนบทนี้ เป็นกลอนที่รุนแรงมาก เป็นเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่ง หวังความรักที่จริงจังจากผู้หญิงคนนี้ แต่กลับผิดหวัง เพราะผู้หญิงทิ้งเขา ผู้ชายคนนี้จึงทั้งโกรธแค้นและรักผู้หญิงมาก ในเวลาเดียวกัน ความโกรธแค้นของผู้ชายคนนี้ ได้ถูกนำมาร้อยเป็นบทกลอน โดยคุณ อังคาร กัลยาณพงศ์

ความเกลียดแค้น ของกลอนนี้จะเป็นได้ชัดเจน โดยมาจากคำที่รุนแรง กระแทก เช่นคำว่า อุบัติ ทำให้เกิดอารมณ์ของคนแค้นเคือง แค้นอย่างมาก และความหมายของหลายๆ อย่างนั้รนล้วนแต่เป็นการกระทำ ที่ทรมานทั้งนั้น เช่น การควักลูกตาเป็นต้น นอกจากเสียงแล้ว คำของการกระทำก็รุนแรงเช่นกับ สิ่งเหล่านี้ทำให้ ผู้อ่านเมื่ออ่านแล้วสะเทือนใจ แสดงว่า เมื่ออ่านบทกลอนนี้แล้ว ทำให้ผู้อ่าน ส่งความรู้สึกกลับมาหากลอน แสดงว่า กลอนนี้สามารถเข้าไปลึกถึงใจผู้อ่านได้
เช่นกันนั้น ก็สามารถเห็นได้ว่าผู้ชายคนนี้รักผู้หญิงคนนี้มากมาก ถ้าหากว่าดูดีดี แล้ว เปรียบประโยคหน้า กับประโยคหลังแล้ว ก็จะเห็นว่า ผู้หญิงจะถูกเปรียบกับสิ่งดีเช่น มณีรุ่ง และ สวรรค์ แต่ผู้ชายกลับยอมถูกทรมานตัวเองเช่น จะไปอยู่ ปรโลก หรือ ให้ผู้หญิงเหยียบเล่น โดยผู้แต่งใช้ความตรงกันข้าม นำมาสู่ความหมายที่ว่า ทั้งรัก ทั้งเกลียดของผู้ชายคนนี้

สิ่งเหล่านี้ เช่นถ้อยคำ และ ความตรงกันข้ามนั้น เป็นความกำกวม ของ กลอนเพราะ กลอนบทนี้ไม่ได้บอกตรงๆ ว่า ผู้ชายคนนี้ต้องการอะไร หรือ รู้สึกอย่างไร แต่หากใช้กลวิธีของกลอน ทำความกำกวม เพื่อสร้างความสวยงาม ลื่น และ สะเทือนใจผู้อ่านโดยขณะเดียวกัน ความเกลียดเป็นอีกภาษาหนึ่งของความรักความรักเช่นนี้ ไม่มีการปล่อยวาง ความผิดหวังที่รุนแรง นำมาสู่ความแค้นที่รุนแรง ความจริงแล้ว สิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น สามารถจะปล่อยวางได้ แต่ทำไม ความรักที่ผิดหวังมันช่างทรมาน และมิอาจลืมได้ ความรักเป็นสิ่งที่คนเราปล่อยวางได้ยาก จนตายไปก็ยังติดค้างอยู่ในจิต ต่อไปยังชาติ ภพอื่นๆ








วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2552

เพลง : พระจันทร์ของเธอ ลิเดีย


พระจันทร์ของเธอ - Lydia ลิเดีย

ในค่ำคืนที่ฟ้ามืดมนอย่างนั้น
มองไม่เห็นพระจันทร์ว่าอยู่ตรงไหน
เงาเมฆหมอกที่บังตา ทำให้ดูมืดไป
แต่รู้ใช่ไหม ยังอยู่ตรงที่เดิม

แสงของฉันยังคงคอยส่องเสมอ
หวังให้เธอพบเจอแต่ความสดใส
ความห่างไกลที่กั้นเรา ต่อให้ไกลแค่ไหน
แต่ฉันยังคงห่วงใยเธอเหมือนเดิม

* อยากให้รู้ไม่เห็น ใช่ไม่ห่วง
ไม่ได้เจอ ใช่ไม่รัก
ความคิดถึงไม่เคยจะหยุดพัก
ส่งไปหาเพียงเธอรู้ไหม
ยังคงเป็นพระจันทร์ดวงเก่า
และยังไม่เปลี่ยนไปไหน
จันทร์ดวงนี้เต้นไป และความรักยังเต็มใจ เหมือนเดิม

ทุกๆครั้งที่เธอมองมาตรงนี้
ขอให้รู้ยังมีฉันอยู่เสมอ
คนๆเดียวของหัวใจ ไม่มีใครมีแค่เพียงเธอ
และวันๆหนึ่งเราคงได้พบกัน

*

ความห่างไกลกั้นเราได้แค่สายตา ไม่อาจกั้นหัวใจที่มี
ไม่ว่าเธอจะอยู่ไหน ในวันนี้ หนึ่งความรักของฉันนี้ จะอยู่เป็นของเธอ
เนื้อหาของเพลงนี้เกี่ยวกับคนที่รัก กันแต่อยู่ไกลกัน แต่ความรู้สึกของทั้งสองนั้นยังรักกันเหมือนเดิม โดยผู้หญิง มีพระจันทร์เป็นตัวแทน ว่าเขาจะอยู่ตรงนั้นเสมอ และพระจันทร์ที่เต็มใบ ก็เหมือน ความรักที่ยังเต็มใจอยู่เสมอ

ดวงจันทร์ เป็น ตัวแทน และ จุดศูนย์กลางของ เพลงๆนี้ ตราบใดที่เพราะจันทร์ ยังอยู่ที่เดิม ความรักก็ยังจะคงอยู่เหมือนเดิม เมื่อหลับตาและฟังเพลงนี้ ก็จะเห็นพระจันทร์ที่อยู่บนฟ้า คอยส่องมาหาผู้คนอยู่เสมอ หากนำพระจันทร์เป็นตัวแทนของคนใดคนหนึ่ง ก็เหมือน กับทำให้คนที่เรารักสบายใจ เพราะว่า ไม่ว่าจะยังไง พระจันทร์ก็จะยังอยู่ที่เดิม และส่องความรักมาให้เสมอ เมฆหมอกที่บังตา เปรียบดั่งกับ อุปสรรค ซึ่งก็คือความห่างไกลของ คนรักสองคนนั้น เอง ระยะทางที่ห่าง ทำให้เกิดความกังวล ว่าใครจะเปลี่ยนไปไหม แต่เมื่อมี พระจันทร์เป็นคำมั่นสัญญาแล้วไซร้ ก็เหมือนกับมั่นใจว่าความรักของเธอนั้นจะอยู่คงที่เสมอ แม้ว่า เมฆหมอก หรือ ระยะทางที่บังตา จะมากเพียงใด เพราะ ยังไง พระจันทร์ก็จะอยู่ที่เดิม

ส่วนตัวแล้วคิดว่าจากมุมมองของผู้แต่ง ด้วยความที่พระจันทร์เป็น สิ่งที่คงที่คงวา ทำให้เพลงนี้มีความแข็งแรงต่อความรัก เพราะ พระจันทร์ได้เป็นระบุในเนื้อเพลง ก็เหมือนเป็นสิ่งเดิมพันว่า รักแท้ไม่แพ้ระยะทาง ผู้แต่งได้เริ่มต้นเพลงโดยเริ่มจากบอกว่า สถานะการที่ต้องจากกัน ทำให้ไม่ได้เจอกัน แต่ก็ย้ำไปเรื่อยๆว่า คนๆนี้ยังจะรักเขาเหมือนเดิม ก็เหมือนพระจันทร์ ที่จะอยู่ที่เดิม ตลอด และก็ย้ำต่อไปเรื่อยๆ โดยสรุปตอนจบว่า ความรักจะเป็นของเขาเสมอและ ตลอดไป หากแกะคำทุกคำออก ก็จะเหลือเนื้อหาเพียงว่า ความรักจะอยู่ที่เดิม เหมือน ความรักที่จะยังอยู่ที่เดิม เสมอ เพลงนี้หากเปรียบกับสี ก็เหมือนกับท้องฟ้าตอนกลางคืนที่ไร้ดาว แต่มองไปยังไงพระจันทร์ก็จะอยู่ตรงนั้น เป็นจุดเหลืองสว่างในพื้นหลังสีดำที่มืดสนิท พระจันทร์เป็นความหวังของความรัก

ย้อนกลับไปยัง กลวิธีของผุ้แต่ง ที่ข้าพเจ้าเห็นได้ชัดก็คือ การใช้พระจันทร์คอยมองคนรักตลอดเวลา เป็นการ บุคลาธิษฐาน ของพระจันทร์ และ เป็นตัวแทน(Symbolize) ของความรักเป็นการดึงดูดความสนใจของผู้อ่านเกี่ยวกับความรัก ว่า พระจันทร์และความรักที่มั่นคงเป็นอย่างไร และ การใช้คำที่เกินจริงเช่น พระจันทร์ดวงเก่า พระจันทร์ไม่มีเก่าหรือใหม่ แต่คำและเทคนิคเล่านี้ ทำให้เพลงมีความหมายที่ลึกซึ้งและไพเราะลื่นไหล
สุดท้ายนี้ พระจันทร์ที่บริสุทธิ์และอยู่ที่เดิม ก็เหมือนกับ ความรักที่บริสุทรธิ์ใจ และมั่นคงต่อความรัก แต่ถ้าหากไร้พระจันทร์ หมายความว่า ความรักจะหายไปด้วยหรือ

เพลงฤดูอกหัก แคลอรี่ บลา บลา


ฤดูอกหัก - Calories Blah Blah






มีฤดูนึง มันช่างยาวนาน ยังไม่แปรเปลี่ยน
เป็นฤดูกาลที่เฝ้ารังควาน มันช่างผิดเพี้ยน

ฝนตั้งเค้าอีกแล้ว เมฆหมอกไม่แคล้ว
ครอบคลุมครึ้มไป ฉันจะหลบได้ที่ไหน
ตั้งแต่เธอนั้นเดินจากไป
เหมือนถูกบังคับให้เปียกตลอดมา

ต้องติดอยู่ในฤดูอกหัก
ตกอยู่ในห้วงความรักที่มันเลวร้าย
ต้องอยู่ท่ามกลางสายลม ของความหนาวใจ
และเปียกปอนไปทั้งใจด้วยหยดน้ำตา

หยดน้ำตานึง หล่นร่วงโปรยปราย นองท่วมหัวใจ
ความเศร้าลำพังยังเฝ้าคอยเติม จนเริ่มไม่ไหว

ฝนตั้งเค้าอีกแล้ว เมฆหมอกไม่แคล้ว
ครอบคลุมครึ้มไป ฉันจะหลบได้ที่ไหน
ตั้งแต่เธอนั้นเดินจากไป
เหมือนถูกบังคับให้เปียกตลอดมา

ต้องติดอยู่ในฤดูอกหัก
ตกอยู่ในห้วงความรักที่มันเลวร้าย
ต้องอยู่ท่ามกลางสายลม ของความหนาวใจ
และเปียกปอนไปทั้งใจด้วยหยดน้ำตา

อีกนานไหม ที่ใจจะผ่านมันไป
อีกนานไหม ที่เป็นอย่างนี้

ต้องติดอยู่ในฤดูอกหัก
ตกอยู่ในห้วงความรักที่มันเลวร้าย
ต้องอยู่ท่ามกลางสายลม ของความหนาวใจ
และเปียกปอนไปทั้งใจด้วยหยดน้ำตา

เนื้อหาของเพลงนี้เกี่ยงกับผู้หญิงที่อกหัก และผู้แต่ง ใช้กฎแห่งธรรมชาติ เช่น สายลม ฝน เมฆหมอก เป็นการสื่อถึงว่า อกหัก นี้มันเลวร้ายแค่ไหน การอกหักเป็นสิ่งที่ทรมาน เหือนฝันร้าย ทุกอย่างแย่ไปหมด และช่วงอกหักเป็น ช่วงเวลาอันแสนทรมานที่ยาวนาน เหมือน ฤดที่ยาวนาน ฤดูหนึ่ง

การที่ถูกใครทิ้งสักคน ก็เหมือนถูกผลักเข้าไปในห้วงของ ฤดูอกหัก โดยฝน เปรียบเสมือนกับสิ่งที่เศร้า ยาวนานที่สาดใส่เราตลอดเวลา เปียกตัวเปียกใจตลอดเวลา เมฆหมอกคลุมพระอาทิตยื เปรียบหมือนกับปิดบังแสงสว่างความสดใส ที่ควรจะส่องลงมาก็เหมือนกับคนที่กำลังอกหัก เรื่องเศร้าๆ จะคอยปิดบัง ความสุขไม่ให้เข้ามาหาเรา ให้เราจมอยู่แต่ในความโศกเศร้า เร้าร้อนหัวใจ สายลมทำให้ทั้งหนาวกายหนาวใจ สื่อถึงความลำพัง โดเดี่ยว และแสนนาน ทำให้เรามองอะไรไม่เห็น เหมือนเห็น และรับรู้แต่ความโหดร้าย บีบหัวไจเรื่อยๆ จนใกล้จะแตกสลายแล้ว

สุดท้าย น้ำตา โดยคำแล้ว แสดงถึงความเศร้าโศกเมื่อเราเสียใจ น้ำตาที่ต้องเสียใจใน ฤดูอกหัก นั้น โปรยปรายนองใจ จนอ่อหล้น ทนไม่ไหว คล้ายกับตอนที่เสียคนรักไป น้ำตาไหล เสียใจ จนไม่มีอะไรจะให้เสียใจไปมากกว่านีอีกแล้ว

ที่เห็นได้ชัดจากเพลงนี้ ผู้แต่งใช้ เหตุธรรมชาติ เป็น ตัวแทนของความเจ็บปวดอีกแขนงหนึ่งของความรัก ซึ่งนั้น ก็ คือ ความอกหักนั้นเอง ชื่อของกลอน ได้บอกชัดเจนแล้ว ว่า เพลงนี้ เกี่ยวกับ ฤดูอกหัก แต่กลวิธีของผู้แต่งที่นำเอา ฤดู กับ อกหักให้มาเป็นคำๆใหม่นั้น เป็น สิ่งที่ดึงดูดให้ผู้อ่านอยากฟังว่า ฤดูอกหัก เป็นเช่นไร ทัศนคติของผู้แต่ง ที่มีให้กับ อาการ อกหักนั้น ผู้แต่งไห้เหตุ ธรรมชาติ เช่น ฝน สายลม เมฆหมอกแทน อาการที่แสนทรมานเหล่านั้น ซึ่งโดยธรรมดาแล้ว หากจะให้บอกว่า อกหัก มันเป็นอยากไร เราคงจะตอบไม่ได้ เพราะอกหักเป็นความรู้สึกๆหนึ่งที่บีบหัวใจตลอดเวลา แต่เป็นที่น่าชื่นชมว่า ผู้แต่งคนนี้นั้น ได้เปรียบเปรยฤดูอกหักให้กลายเป็นเพลงได้


ฝน คือ สิ่งที่เมื่อเราโดนแล้ว ฝนจะสาดให้เราเปียก แต่ อาการอกหักนั้น ฝนกลับสาดเข้ามาที่หัวใจ เปียกปอนไปหมด เหมือนความเศร้าที่คอยถมถับเราตลอด เมื่อคนรักจากไป ฝนที่สาดมาถึงใจ ไม่สามารถที่จะหนีได้เลย เพราะอาการอกหัก มันช่างหนักหนาสาหัส เกินกว่าจะเยียวยาได้ในชั่วขณะ เมฆหมอก ให้ความทึบมัว ให้อารมณ์ของ ความหดหู่ หากเปรียบกับการอกหักไซร้ ก็เหมือนเมื่อคนที่เรารักจากดเราไป ความสุข ก็ถูกความมืดมนต์ ขุ่นมัวบังตาตลอกเวลา มองเห็นแต่เมฆหมอกที่คลุมเคลือกายและใจ แสงสว่างคงยังไม่ส่องอีกนาน เพราะ อาการอกหักช่างยาวนานและทรมาน สายลมที่พัดมาหาทำให้หนาวสั่น แต่สำหรับคนอกหักนั้น สายลม เป็นอาการ ที่ทำให้ใจสั่นไหว ตลอด เป็นสายลมในห้วงความรักที่เลวร้าย น่าเศร้าจริง การที่คนเราอกหัก


เมื่อ เหตุการณ์ เลวร้ายของ
ธรรมชาติมารวมกัน ผู้ฟังสามารถจะจินตนาการเป็นภาพได้เลยว่า อกหักเป็นเช่นใด ผู้แต่งใช้เหตุธรรมชาติโดยมีคำบรรยายตามมาตลอด เช่น ฝน ตามมาด้วย ตั้งแต่เธอจากไปมันทำให้เปียกตลอดเวลา แสดงว่า ผู้แต่งใช้ผล และค่อยตามด้วยเหตุ สิ่งนี้ ทำให้ผู้ฟังอยากรู้ว่า เหตุของผล ธรรมชาตินี้มาจากไหน หรือ คืออะไร และก็เป็นความกำกวม ซึ่งทำให้ผู้ฟังอยากเข้าใจ อาการอกหักมากขึ้น เหตุธรรมชาติ เหล่านี้เรารู้ว่าคืออะไร เป็นคำง่ายๆที่เราเห็นกันบ่อยๆ แต่หากว่า เปลี่ยนธรรมชาติ เช่น ฝนเป็นอาการหรืออารมณ์นั้น ก็ไม่สามารถที่จะเห็นได้ว่าคืออะไร แต่สามารถที่จะเข้าใจได้ ผู้แต่งได้ใช้คำที่ เรียบง่าย ให้กลาย(Simplicity) เป็น อารมณ์ที่ลึก ซับซ้อนได้ (complexity)


เนื้อหาที่เศร้า นำไปสู่เสียงของเพลงที่เศร้า จากมุมมองของคนที่อกหักนั้น การที่จะบอกอารมณ์ ของ อกหัก อกกมานั้น คงที่เบาเล็ก โอดครวน เหมือนเป็นผู้ถูกกระทำจากอะไรซักอย่างแรงๆ เสียงของเพลงนี้ เป็นการพรรนณา ความรู้สึกของผู้ที่ถูก ทิ้งว่า ทรมาน และ โหดร้ายแค่ไหน ความเศร้าที่ไพเราะของเพลง การเปรียบเปรย และ ความกำกวม ทำให้อกหักเป็น ฤดูๆหนึ่ง ที่ช่างยาวนานได้


เพลง คนในเงา กู๊ด เอเอฟ


คนในเงา - กู๊ด AF5










มันเริ่มจากใหน เมื่อไรไม่รู้เลย ที่มันรู้สึกเกินเลย เสียงหัวใจมันเรียกร้อง ก็ได้แต่คิด และแอบซ่อนในใจ
เพราะเข้าใจในความจริง หัวใจของเธอมันคงไม่อาจจะบอกรัก กับตัวฉันที่เป็นอยู่เท่านี้ แค่เพี่อนดีๆเท่านี้ที่เธอมอบให้กันมา และฉันต้องทนเก็บไว้
จะมีไหมเวลาวันนั้น วันที่เธอก้าวข้ามเส้นนั้น ที่คั่นกลางระหว่าง คำว่าเพื่อนและคนรัก และสุดท้าย เป็นได้ก็เพียงแค่คนในเงาเท่านั้น เมื่อเธอไม่มีวันก้าวข้ามมา ฉันคงต้องซ่อนคำว่ารักไว้แค่ในใจ
เธอใกล้แค่นี้ ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือ แต่ฉันรู้สึกว่าเธอไกล เพราะหัวใจเธอไกลกัน ก็เพราะว่ารู้ ถึงอยู่แค่ในเงา ได้แค่เพียงแอบรักเขา
เพราะเข้าใจในความจริง หัวใจของเธอมันคงไม่อาจจะบอกรัก กับตัวฉันที่เป็นอยู่เท่านี้ แค่เพี่อนดีๆเท่านี้ที่เธอมอบให้กันมา และฉันต้องทนเก็บไว้
จะมีไหมเวลาวันนั้น วันที่เธอก้าวข้ามเส้นนั้น ที่คั่นกลางระหว่าง คำว่าเพื่อนและคนรัก และสุดท้าย เป็นได้ก็เพียงแค่คนในเงาเท่านั้น เมื่อเธอไม่มีวันก้าวข้ามมา ฉันคงต้องซ่อนคำว่ารักไว้แค่ในใจ
จะมีไหมเวลาวันนั้น วันที่เธอก้าวข้ามเส้นนั้น ที่คั่นกลางระหว่าง คำว่าเพื่อนและคนรัก และสุดท้าย เป็นได้ก็เพียงแค่คนในเงาเท่านั้น เมื่อเธอไม่มีวันก้าวข้ามมา ฉันคงต้องซ่อนคำว่ารักไว้แค่ในใจ

เนื้อหาของเพลงชิ้นนี้จะป็นเกี่ยวกับ ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่แอบรักเพื่อนชายของตน โดยเธอเองก็ไม้รู้ว่า ตนเองรักเขาตอนไหน จนหัวใจของเธอเรียกร้องหาเขาเสมอ แต่ผู้ชายคนนี้ให้เธอได้แค่ความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ผลสุดท้ายนั้น ก็ยังมีเส้นขั้นกลางระหว่างเธอและเขา ตอนนี้เธอทำได้เพียงเก็บความรู้สึก เก็บความรักทั้งหมดของเธอไว้กับตัวเองเท่านั้น

โดยเนื่อเรื่องนั้น จะมีเงา เป็นตัวแทนของความรัก ของผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้แต่แอบอยู่ในความมืดเพราะถูกปฏิเสธรัก ก็เหมือนกับ ความรักที่ผู้หญิงคนนี้มีให้กับผู้ชาย แต่ไม่สามารถที่จะใช้ความรักนั้ได้ จึงได้แต่เก็บไว้ เงาก็แสดงถึง ความโหดร้ายความที่อยู่ได้แต่ข้างหลัง ตามหลังเหมือนเงา โดยมีเส้นบางๆของคนรัก และ เพื่อนขั้นกลางระหว่างกัน จากความรู้สึกที่ต่างกัน มันกลายเป็นความขมขืน ของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ได้เพียงแค่แต่แอบรัก มีการแทนความเป็นได้แค่เพื่อน กับเงาข้างหลัง แต่สุดท้าย เธอก็ยังหวังว่าจะมีซักวัน ที่เขาคนนั้นจะข้ามเส้นระหว่าง เพื่อนและคนรัก

เสียงของเพลงนี้ จะเป็นเสียงที่เบาเล็ก เสียงเศร้าๆปนอ้อนวอน ขาดความรัก เหมือนเป็นเพียงแค่คำกระซิบ สื่อถึงความอึดอัดในใจ ที่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้เต็มคำ

เพลงนี้ ผู้แต่งได้ระบายสีเข้ม เพื่อวาดภาพเงา ความเศร้า ของการที่ผู้หญิงคนหนึ่ง ได้แค่แอบรัก เงา เป็นรูปแบบของตัวแทนของความเจ็บปวดครั้งนี้ ด้วยความที่คำว่าเงา สื่อถึงความมืด อยู่ข้างหลัง จับต้องไม่ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น คำว่าเงา จึงทำให้เกิด ความหมายของ ความรักที่ไม่อาจจะจับต้องได้ เป็นความรักที่ คนๆนั้นมองข้ามไปอย่างไม่ใส่ใจ ผู้แต่งเปิดเนื้อหาโดยการเริ่มต้นจาก ความที่สึกรักของผู้หญิงคนหนึ่ง ยิ่งผ่านไป ความสู้สึกนี้ยิ่ง เอ่อล้นขึ้น เรื่อยๆ จนมาถึงจุดที่ผู้หญิงคนนี้รักผู้ชายคนนั้น จนหมดใจ แต่กลับโดนปฏิเสธความรักครั้งนี้ ผู้หญิงเจ็บปวดมาก และก็เจ็บตลอดมา การที่ความรู้สึกนี้ไม่มีที่สิ้นสุดนั้น เนื้อหาจึงลงท้ายโดย ประโยคคำถามปฏิปุจฉา ที่ว่า จะมีไหมเวลาวันนั้น มันทำให้รู้สึกที่ความที่หวัง ในสิ่งที่ไม่มีหวัง ของความรัก ความรักที่เป็นได้แค่คนในเงา ได้แต่แอบรักคนอื่น มันช่างเจ็บปวดและไร้ความหวังจริงๆ โดยคำบรรยายบรรยายภาพรวมๆหากว่ามองลึกลงไปและร่อนเพลงนี้ให้เหลือเนื้อหาจริงๆ ก็ได้ความหมายที่ว่า ความที่ถูกปฏิเสธรัก ก็เหมือนกับตัวเราหวังในสิ่งที่หมดหวังไปแล้ว การที่ได้แต่แอบรัก ไม่ได้ให้ความสุขเราเลย


กล่าวมาถึงถ้อยคำที่ผู้แต่งใช้แล้ว คำเหล่านั้นมักจะแสดงถึงด้านลบเสียส่วนมาก เช่น แอบซ่อน ทน มีไหม เอื้อมมือ และเงา เป็นต้น ซึ่งสื่อให้ถึงว่า ความรักก็มีด้านลบทึบด้วยเหมือนกัน และ คำด้านลบพวกนี้ สามารถดึงอารมณ์ให้ผู้ฟังร่วมไปกับความเศร้าด้วย ย้อนกลับไปถึงคำว่า เงา แล้วไซร้ ด้วยความที่ว่า คำว่าเงา เป็นคำๆเดียว ที่ทั้งลึก ทั้งกว้าง และให้ได้หลายความหมาย จึงทำให้ความหมายของเรื่อง มีความกำกวม ทำให้เราอยากเข้าไปตีความ จึงเหลือสิ่งที่ว่า จุดประสงค์ของผู้แต่งนั้น ต้องการให้ผู้ฟังเข้าใจเพลง แต่ไม่ได้ต้องการให้ผู้ฟังรู้ความหมาย ฉะนั้น คำว่าเงาจึงเป็นคำที่ช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจ ความเศร้า ของคนแอบรักมากกว่าที่จะรู้ความหมายของการแอบเสียมากกว่า


ด้วยความที่เพลงนี้ มีความกำกวม ผู้แต่งได้ใช้ บุคลาธิษฐาน ที่เห็นได้ชัดคือประโยคที่ว่า หัวใจของเธอมันคงไม่อาจจะบอกรัก ที่จริงแล้ว หัวใจบอกรักไม่ได้หรอก แต่ บุคลาธิษฐาน ของหัวใจนั้น ทำให้นั้นหาลึกละเข้าไปสู่ใจของผู้ฟังได้ดีกว่าใช้คำที่ ทื่อๆ ตรงไปตรงมา การที่ ผู้แต่งใช้ คอรัส ของเพลง ซ้ำถึง สามครั้ง ทำให้ เพลงนี้ ลื่นไหล และ คอรัสเพลงนี้เป็นการบอกความรู้สึกของผู้หญิงคนนี้ที่เจ็บปวด ของการแอบรัก ให้ซ้ำไปซ้ำมาในหัวของผู้ฟัง ยิ่งทำให้ผู้ฟังเข้าใจเพลงนี้มากขึ้น


สุดท้ายนี้ สิ่งที่เหลืออยู่นั้น ก็คือ ความทรมานใจ เจ็บปวด การที่เราแอบรักใครคนหนึ่ง จะทำให้เงา ปิดบังหัวใจ ปิดบังเราจากแสงสว่าง ความสุข ความสดใสที่เราควรจะได้รับ เป็นสิ่งที่น่าเศร้า ที่การที่ถูกปฏิเสธรัก ทำให้คนเราสร้างเงาเป็นสิ่งคุ้มกันความสุข